กองทุนภาคประชาสังคม

คุณสรรพสิทธิ์ คุมพ์ประพันธ์ อาชีพพลิกผัน สู่การทำงานคุ้มครองสิทธิเด็ก

ปัญหาเด็กและเยาวชน" ในปัจจุบันได้ก่อตัวเพิ่มความรุนแรงขึ้น เหตุเกิดจากอะไรนั้น ยังเป็นคำถามที่หาคำตอบไม่ได้เบ็ดเสร็จ ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่าอะไรคือปัญหา และใครเป็นคนก่อปัญหานี้ขึ้น แต่เราจะชวนมองว่ากระบวนการแก้ปัญหามีอะไรบ้างและวิธีคิดคนทำงานที่ต้องอยู่กับปัญหาเป็นอย่างไร  คุณสรรพสิทธิ์ คุมพ์ประพันธ์ หรือ “พี่เขียว” “ลุงเขียว" ของเด็กๆ ผู้อำนวยการมูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก เล่าประสบการณ์การทำงานด้านเด็กที่ผ่านมาว่า

จุดเริ่มต้นของพี่เขียว ถูกหล่อหลอมแนวคิดการทำงานด้านสังคม ตั้งแต่ช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัยก็ได้มีโอกาสได้ทำกิจกรรมทางสังคม ทางการเมือง และกิจกรรมอาสาต่างๆเพื่อสังคม แต่เมื่อเรียนจบ กลับได้ก้าวเข้าสู่ชีวิตการทำงานด้วยการเป็นพนักงานแบงก์ ทำงานตอบสนองความต้องการของนายทุน

“ทำงานธนาคาร อยู่แผนกประเมินราคาหลักประกัน ลูกค้ามักเข้ามาเอาอกอกใจ พยายามยัดเยียดเงินทองเพื่อสร้างผลประโยชน์ทางธุรกิจเท่านั้น อยู่ได้เพียง 8-9 เดือนแล้วเกิดเหตุการณ์เดือนตุลา ก็ได้ไปร่วมกิจกรรมทางการเมือง พอเหตุการณ์สงบได้กลับเข้ามาทำงานเป็นปกติซึ่งทำให้รู้สึกว่าเราอาจไม่เหมาะกับการทำงานเชิงธุรกิจแบบนี้ จึงตัดสินใจลาออก หันเหเข้าสู่การทำงานด้านสังคมที่มูลนิธิโกมล คีมทอง  ทำให้วนเวียนกับการทำงานด้านสังคมตลอดมาจนกระทั่งมาทำงานด้านเด็ก ได้มีโอกาสร่วมงานกับคุณพิภพ ธงไชย ได้เห็นความยากลำบาก และเด็กช่วยเหลือตนเองไม่ได้ และได้เห็นประเด็นสิทธิมนุษยชนมากมาย เช่น  สิทธิของผู้ต้องหา ผู้ต้องขังที่ถูกทำร้าย ถูกฆ่าตายในห้องขัง และเรื่องสิทธิของชาวนา  และได้ก้าวเข้ามาทำงานสิทธิเด็กซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับสิทธิของผู้ใหญ่แล้ว ไม่มีใครมานึกถึงและมาทำในเรื่องนี้เท่าไหร่นัก กฎหมายการคุ้มครองเด็กในสมัยนั้นยังไม่มีเลยสักฉบับ  ก็เลยทำให้ผมเริ่มอยู่ในแวดวงการต่อสู้เพื่อสิทธิเด็กเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้”

พี่เขียวเล่าว่า ปัญหากับการทำงานเป็นของคู่กัน ในช่วงแรกๆ จะประสบปัญหากับทางราชการที่มีระบบระเบียบต่างๆ ที่ไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง แต่ก็พยายามใช้กฎหมายเป็นเกณฑ์ในการทำงาน ทำให้เกิดเป็นที่ยอมรับและเกิดการทำงานร่วมกับสหวิชาชีพของหน่วยงานต่างๆ ทำให้พวกเขาซึ่งเป็นข้าราชการอยู่แล้วหันมาให้ความร่วมมือ และร่วมทำงานต่อเนื่องกันเรื่อยมา

“ด้วยปัญหามากมายที่เข้ามาท้าทายให้แก้ไข แนวทางการทำงานของหลายท่านๆย่อมให้ข้อคิดที่สอนให้พึ่งพาตนเองก่อนในทุกๆด้าน ก่อนที่จะเรียกร้องหรือรอความช่วยเหลือจากคนอื่นๆ และนำปัญหาที่ได้มาสู่การคิดวิเคราะห์ได้อย่างเป็นระบบ”

 “ปัญหาส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากทางราชการ แต่ปัญหาใหญ่อยู่ที่นักการเมือง สังเกตได้จากการใช้จ่ายงบประมาณด้านเด็กและครอบครัวมีไม่ถึง 0.5 ของงบประมาณทั้งหมด ซึ่งน้อยมากเมื่อเทียบกับปัญหาที่เกิดขึ้น การจัดระบบกระทรวงทบวงกรมเพื่อการผันรายได้ เพื่อพรรคพวก ดึงงบประมาณไปสร้างกิจกรรมประชาสัมพันธ์ไปเสียส่วนใหญ่ ไม่ได้เป็นการแก้ไขปัญหาส่วนร่วม แต่เพื่อช่วยในการจ่ายเงินงบประมาณไปยังพรรคพวก ที่เน้นเงิน ไม่ได้เน้นผลงาน  ทำให้ระบบที่ทำงานได้กลับกลายเป็นอัมพาต กลไกการทำงานด้านเด็กไม่สามารถทำงานได้ ไม่มีหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงงานด้านเด็กจึงเป็นงานฝาก ไม่มีหน่วยงานไหนเป็นหลัก ในขณะที่ประเทศอื่นๆใช้กลไกของรัฐเพื่อสนับสนุนให้ภาคประชาชนทำงาน ส่งเสริมให้ครอบครัวและโรงเรียน ทำงานด้านการปกป้องและคุ้มครองเด็ก และการพัฒนาเด็ก ขณะนี้ไม่ได้ทำกลับไปเน้นการสร้างสถานเลี้ยงดูเด็ก เอาของไปแจก ซึ่งไม่ใช่งานช่วยเหลือครอบครัวและเด็กโดยตรง”

พี่เขียวเองก็เหมือนกับคนทั่วไปที่มีความฝัน มีความต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ความเปลี่ยนแปลงที่พี่เขียวต้องการ คือ นักการเมืองเข้าที่เข้ามาบริหารประเทศควรมีจิตสำนึกในการรับผิดชอบมากขึ้น สนับสนุนให้ภาคประชาชนเข้ามามีบทบาทในการทำงานในทางสังคมได้มากขึ้น และนำเงินภาษีที่ได้มาพัฒนาด้านสังคม ไม่ใช่เอามาจากเงินหวย สลากกินแบ่งเท่านั้น แต่ต้องมีทางเลือกให้คนที่เสียภาษีมีทางเลือกว่าจะให้เอาเงินของพวกเขาใช้จ่ายในส่วนไหน ซึ่งจะทำให้เกิดการแข่งขันการสร้างกลไกการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รัฐบาลมีการเปลี่ยนยุทธศาสตร์มาเป็นบทบาทของผู้สนับสนุนในฐานะพัฒนาองค์ความรู้ และพัฒนาคนทำงานให้มีประสิทธิภาพ สนับสนุนให้เกิดเครือข่ายอาสาสมัครให้มากขึ้น เพื่อให้คนไทยสามารถเข้าถึงบริการอย่างทั่วถึงมากขึ้น

                “ความมุ่งมั่นที่จะทำงานในประเด็นการคุ้มครองเด็ก ผลักดันจนทำให้เกิดการสร้างกฎหมายคุ้มครองเด็กที่เกิดจากความร่วมมือของคนทำงานทำให้กฎหมายฉบับนี้มีความเป็นจริงได้มากขึ้น ถึงแม้จะมีการต่อต้านจากนักการเมือง ไม่ให้มีตำแหน่งที่เกี่ยวข้อง ห้ามไม่ให้มีหน่วยงานที่เข้ามาดูแลโดยเฉพาะ ทุกครั้งที่เราไปช่วยเหลือให้เด็กอยู่รอดปลอดภัยจากการถูกกระทำต่างๆ ให้เขาได้มีชีวิตที่ดี สามารถสร้างและดูแลครอบครัวได้อย่างมีความสุข โดยพึ่งตนเองให้ได้มากที่สุด และเป็นที่พึ่งให้กับคนอื่นๆได้ ไม่ต้องตกเป็นทาสทางเศรษฐกิจ ใช้ชีวิตอย่างพอเพียงได้ ใช้ความสมดุลทางธรรมชาติในการดำรงชีวิตของตนเอง”

“ดังนั้น กองทุนภาคประชาสังคม จะเป็นตัวกระตุ้น ริเริ่มให้เกิดการแก้ไขไปในทิศทางที่ถูกต้อง ในประเทศของเรามีทรัพยากรต่างๆอย่างเพียงพอที่จะนำมาใช้ในการพัฒนาด้านสังคม ซึ่งกองทุนนี้จะทำหน้าที่กระตุ้นให้คนเห็นศักยภาพของตนเองและคนรอบข้าง กระตุ้นให้เกิดการสร้างเครือข่ายการทำงานเพื่อเข้ามาช่วยเหลือกัน มาทำกิจกรรมเพื่อสังคม มาทำให้สังคมเกิดคุณภาพ” 

Tag


powered by CIVIL SOCIETY EMPOWERMENT INSTITUTE