ความสงสัยที่ว่า “ทั้งที่เครื่องมือแพทย์ทันสมัยขึ้น แต่ทำไมค่ารักษาจึงแพงขึ้นทุกวัน?” ได้ทำให้ “ใจเพชร กล้าจน” หรือ “หมอเขียว” เดินหน้าค้นหาคำตอบของคำถามในใจของตัวเอง ก่อนที่เขาจะค้นพบว่า การรักษาแบบ “แพทย์วิถีพุทธ” น่าจะคือคำตอบที่ดีที่สุด
หมอเพชรเล่าว่าทั้งๆที่พ่อของตนเองนอกจากจะเป็นครูประชาบาลแล้วก็ยังเป็นหมอสมุนไพรด้วย ที่บ้านก็เหมือนคลินิกประจำหมู่บ้านใครเจ็บใครป่วยก็ต้องมาที่บ้านให้ พ่อของหมอช่วยรักษาให้ แต่ตัวเองก็ไม่ได้อยากเป็นหมอเพราะกลัวเชื้อโรค แต่อยากแต่งเครื่องแบบเท่ห์ๆ ของทหาร ซึ่งสาวๆ คงจะชอบคนในเครื่องแบบมากกว่า แตะชะตากรรมก็เล่นตลกให้หมอเขียวต้องมาใส่เครื่องแบบสีขาวจนได้
“ผมอุตส่าห์ตั้งอกตั้งใจอ่านหนังสือจนสอบติดทหารอากาศ แต่ผมไปรายงานตัวไม่ทันจึงอดเข้าเรียน ตอนนั้นก็สอบไว้หลายแห่งปรากฏว่าสอบติดสาธารณสุข ก็เลยจำต้องไปเรียน เรียนจบแล้วก็มารับราชการที่ฝ่ายส่งเสริมสุขภาพ โรงพยาบาลหว้านใหญ่ จังหวัดมุกดาหาร เมื่อปี 2536 ผมรับผิดชอบทำโครงการเรื่องเด็กขาดสารอาหาร เรื่องบุหรี่และยาเสพติดกับชาวบ้าน งบประมาณตอนนั้นก็ไม่มี แต่ผมดั้นด้นทำไป ตั้งใจทำเพราะคิดว่ามันเป็นโครงการที่มีประโยชน์ ใจผมอยากช่วยคนในชุมชนให้มีสุขภาพดี งานนี้เลยทำให้ผมได้รับคัดเลือกให้เป็น ข้าราชการดีเด่นของโรงพยาบาลทั้งๆ ที่เพิ่งรับราชการมาได้เพียงปีเดียว”
ทำงานได้ไม่นาน หมอเขียวก็เริ่มมีความสงสัย ทั้งๆที่เทคโนโลยีทางการแพทย์ก้าวหน้าขึ้น แต่ทำไมถึงรักษาโรคหลายๆโรคให้หายขาดไม่ได้ ขณะที่คนไข้ก็ต้องแบกภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลเองก็ป่วยกันถ้วนหน้า ป่วยมากกว่าชาวบ้านถึง 3 เท่า แม้แต่ตัวหมอเองเองก็ป่วยด้วยโรคหัวใจขาดเลือด
“ตอนนั้นผมเริ่มสนใจเรื่องแพทย์แผนไทย เพราะหลักการของแพทย์แผนไทยส่วนใหญ่ คือการพึ่งตัวเอง อ่านตัวเองให้ออก วิเคราะห์ว่าเกิดอะไรขึ้นในร่างกาย จะแก้ไขอย่างไร ก็เลยบุกเบิกโครงการแพทย์แผนไทยขึ้นในโรงพยาบาลหว้านใหญ่ เพราะผมเห็นว่าเป็นองค์ความรู้ที่ชาวบ้านน่าจะใช้เพื่อพึ่งตนเองได้ ผมก็จัดการอบรมเกี่ยวกับแพทย์แผนไทยหลายเรื่อง ขณะเดียวกันตัวผมเริ่มศึกษาการแพทย์ทางเลือกและลองนำมาใช้ร่วมกับการแพทย์แผนปัจจุบัน ปรากฏว่าสามารถช่วยให้คนไข้หายเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว แต่ก็ยังไม่ใช่ทั้งหมด เพราะยังมีคนไข้อีกถึง 60 เปอร์เซ็นต์ที่รักษาไม่ได้ ผมเริ่มเครียดกับเรื่องนี้มาก จนต้องไปปฏิบัติธรรม”
หมอเขียวเริ่มอ่านหนังสือธรรมะมากขึ้น ทั้งของท่านพุทธทาส หลวงปู่เทสก์ อาจารย์ชา ธรรมะของชาวอโศก กระทั่งพระไตรปิฎก จึงทำได้คำตอบว่า เหตุของความเครียด มาจากตัวโกรธ ตัวโลภ ตัวหลงโลกธรรม ขณะเดียวกันใน พระไตรปิฎกเล่มที่ 11 “สังคีติสูตร” ข้อ 239 ก็พบว่า การปรับสมดุล ร้อน-เย็น จะทำให้มีโรคภัยไข้เจ็บน้อย มีทุกข์น้อย เพราะเมื่อเกิดความไม่สมดุลในร่างกาย ก็จะทำให้เกิดอาการไม่สบายและโรคภัยไข้เจ็บขึ้นมา
“อ่านเสร็จผมก็ปิ๊งเลยว่า การปรับร้อน-เย็นน่าจะได้ผล เพราะ อันนี้ตรงกับหลักการแพทย์ทางเลือกหลายแผน เช่น สมดุล หยิน (เย็น) – หยาง (ร้อน) ตามหลักแพทย์แผนจีน หรือ สมดุลดิน น้ำ ลม ไฟ ตามหลักแพทย์แผนไทย และหลักแพทย์แผนปัจจุบันที่พูดถึงอุณหภูมิมีผลต่อสุขภาพ แต่เหตุผลที่ทำให้ทุกวันนี้การปรับสมดุลร้อน-เย็นตามศาสตร์การแพทย์ทางเลือก ไม่ได้ผลดีเท่าที่ควรจะเป็นก็เพราะเรามัวแต่ไปยึดติดทำตามตำราเก่า ซึ่งเขียนไว้ในสมัยโบราณ ในขณะที่ตอนนี้สภาพแวดล้อม สภาพจิตใจ สภาพโรคภัยของโลกปัจจุบันมันเปลี่ยนไปอย่างมากแล้ว ดังนั้นเพื่อจะให้การปรับสมดุลได้ผล เราก็ต้องปรับวิธีการเปลี่ยนให้สอดคล้องไปตามสภาพโลกและสิ่งแวดล้อมต่างๆ และสภาพผู้ป่วยในปัจจุบัน”
หมอเพชรเริ่มใช้แนวทางการปรับสมดุลร้อนเย็นรักษาโดยวิเคราะห์ธาตุร้อน-เย็น เริ่มปรับสูตรยาโดยแยกว่ายาและสมุนไพรตัวไหนที่มีฤทธิ์ร้อน หรือฤทธิ์เย็น คำว่า ฤทธิ์ร้อน ก็หมายถึงว่า อะไรก็ตามที่กินเข้าไปแล้ว ปากแห้ง กระหายน้ำ ส่วน ฤทธิ์เย็น ก็หมายถึง อะไรก็ตามที่กินเข้าไปแล้วชุ่มคอ ร่างกายไม่ต้องการน้ำอีก
“ผมทดลองทดสอบฤทธิ์ร้อนและฤทธิ์เย็นของยาและสมุนไพรต่างๆ ซ้ำไปซ้ำมากับตัวเองก่อน ตอนนั้นผมทดลองกินสมุนไพรฤทธิ์ร้อนเสียจนป่วย พอป่วยแล้วก็กินสมุนไพรฤทธิ์เย็นเข้าไปแก้ ปรากฏว่าอาการดีขึ้น ผมทดลองแล้วทดลองอีกจนมั่นใจว่า มันไม่ใช่อุปาทาน ก็เลยยิ่งมั่นใจว่าที่แท้แล้วสาเหตุใหญ่ๆ ที่ทำให้คนป่วยก็เพราะภาวะไม่สมดุลของร่างกาย 3 อย่างคือ ภาวะไม่สมดุลแบบร้อนเกิน ภาวะไม่สมดุลแบบเย็นเกิน และภาวะไม่สมดุลแบบร้อนเกินและเย็นเกินเกิดขึ้นพร้อมกัน ดังนั้นพอเกิดภาวะเสียสมดุลขึ้นมา เราก็ต้องแก้ด้วยการปรับให้ภาวะสมดุลของร่างกายกลับคืนมา พอร่างกายสมดุลได้ที่ คนก็จะรู้สึกเบากายสบายตัว อาการป่วยไข้ก็บรรเทาและหายในที่สุด ผมก็ใช้หลักการนี้ลองรักษากับตัวเอง แล้วขยายไปที่ญาติธรรม ชาวบ้าน แม้กระทั่งแม่ของผมที่ตอนนั้นปวดมดลูกจนตกเลือดให้หายได้จากหลักการนี้”
ตลอด 15 ปีที่ผ่านมา หมอเพชรได้จดบันทึกและรวบรวมความรู้เก็บไว้เป็นข้อมูล ปรากฏว่าคนไข้ร้อยละ 90 อาการทุเลา รู้สึกสบายขึ้น โดยใช้วิธีปฏิบัติในการถอนพิษปรับสมดุล ตามเทคนิค 9 ข้อ หรือที่เรียกว่า ‘ทฤษฎียา 9 เม็ด’ ซึ่งประกอบด้วย การดื่มน้ำคลอโรฟิลล์สด, การขูดพิษหรือขูดลม, การทำดีท๊อกซ์, การแช่มือแช่เท้าในน้ำสมุนไพร, การพอก ทา หยอด ประคบ อบ อาบ ด้วยสมุนไพรที่ถูกกัน, การออกกำลังกาย, การรับประทานอาหารปรับสมดุลร่างกาย, ใช้ธรรมะ ทำใจให้สบาย ผ่อนคลายความเครียด และรู้เพียรรู้พักให้พอดี
หมอเพชรเดินสายบรรยายทฤษฎียา 9 เม็ดตามที่ต่างๆ จนในที่สุดคิดว่าน่าจะเปิดอบรมเพื่อสอนคนจำนวนมากในครั้งเดียว จึงไปขอที่ดินของครอบครัวจากคุณแม่มาจัดเป็นศูนย์สุขภาพพึ่งตนเองตามแนวแพทย์วิถีธรรม สวนป่านาบุญ อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร ขึ้นเมื่อปี 2550 แล้วก็จัดค่ายสุขภาพเป็นประจำเดือนละครั้งตลอดทั้งปี เพื่อให้ทุกคนทั้งคนป่วยคนไม่ป่วยได้มาฝึกอบรมเป็นหมอที่จะดูแลตัวเอง ไม่มีการคิดค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีการต้องทำบุญตามจิตศรัทธา
“ผมอยากให้คน มาสบายใจที่สุด ไม่ต้องโดนกดดันด้วยเรื่องเงิน ผมคิดว่าคนป่วยก็มีวิบากกรรมของเขามากพออยู่แล้ว การทำมาหากินบนความทุกข์ของคนอื่นไม่ใช่เรื่องดี แทนที่จะเป็นอย่างนั้น เราน่าจะถือเป็นโอกาสที่จะช่วยเหลือกัน ได้มีโอกาสทำมหาบุญเพื่อลดความเดือดร้อนความทุกข์ของเพื่อนมนุษย์ได้”
“ทั้งตัวผมทั้งทีมงานที่เราทำงานกันหนักขนาดนี้ เราไม่ได้มุ่งหมายว่าชีวิตของตัวเองจะต้องได้รับการยกย่อง ได้ชื่อเสียงเงินทองอะไร ของพวกนั้นไม่ได้สำคัญอะไรเลย แต่เพราะเราเป็นลูกศิษย์ของมหาบุรุษที่ปราดเปรื่องที่สุดในโลกคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรานำเอาเนื้อหาและคำสอนของพระองค์ทุกประโยคมาใช้เพื่อดับทุกข์ที่เหตุ พระพุทธเจ้าทรงฝึกตัวเองให้พ้นทุกข์แล้วเอาวิชาพ้นทุกข์นั้นมาเกื้อกูลให้ผู้อื่นได้พ้นทุกข์ด้วย ช่วยให้โลกมีความร่มเย็นผาสุก ตัวเราในฐานะลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า เราก็ต้องดำเนินชีวิตตามอาจารย์ คือพยายามศึกษาความรู้นี้ให้ลึกซึ้งแตกฉาน ปฏิบัติกับตัวเองก่อน เมื่อได้ผลก็นำไปเผยแพร่ช่วยเหลือคนอื่นต่อเหมือนอย่างที่พระพุทธเจ้าเคยทำ”
ขอขอบคุณข้อมูลประกอบจาก : แพทย์วิถีธรรม....หมอที่ดีที่สุดคือตัวคุณเอง - หมอเขียว (ใจเพชร กล้าจน )
www.prachathon.org, http://hilight.kapook.com
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก : www.bloggang.com